วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ธรรมชาติของมนุษย์

1.กลุ่มจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์เชื่อว่า คนเรามีลักษณะของความเป็นมนุษย์และสัตว์ผสมอยู่ด้วยกัน และเน้นว่าชีวิตของมนุษย์หล่อหลอมมาจาก ความต้องการทาง ร่างกาย แรงขับทางเพศและสัญชาตญาณของความก้าวร้าว นักจิตวิเคราะห์กลุ่มนี้ มองมนุษย์ในแง่ของ ความเป็นสัตว์และ ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ กล่าวคือ คนเรามีลักษณะเหมือนกับสัตว์ ในแง่ของความต้องการ อาหาร การขับถ่าย และความต้องการ ทางเพศ แต่คนแตกต่างไปจากสัตว์ ในแง่ที่ว่าสามารถจะพัฒนาเทคนิคการสื่อความหมายต่างๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ ในสังคม ซึ่งสามารถแยกตนไปจาก เรื่องของ สัญชาตญาณได้ นั่นคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีคุณธรรมสามารถครอบคลุมพฤติกรรม
โครงสร้างบุคลิกภาพของมนุษย์ประกอบด้วย
Idเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นส่วนที่จิตไร้สำนึก มีหลักการที่จะสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น เอาแต่ได้อย่างเดียว และจุดเป้าหมายก็คือ หลักความพึงพอใจ (Pleasure Principle) Id จะผลักดันให้ Ego ประกอบในสิ่งต่างๆ ตามที่ Id ต้องการ
Egoเป็นส่วนของบุคลิกภาพ ที่พัฒนามาจากการที่ทารกได้ติดต่อ หรือมีปฎิสัมพันธ์กับโลก ภายนอก บุคคลที่มีบุคลิกภาพปกติ คือ บุคคลที่ Ego สามารถที่ปรับตัวให้เกิดสมดุลระหว่างความต้องการของ Id โลกภายนอก และ Superego หลักการที่ Ego ใช้คือหลักแห่งความเป็นจริง (Reality Principle)
Superegoเป็นส่วนของบุคลิกภาพที่เกิดขึ้นในระยะที่ 3 ของพัฒนาการที่ชื่อว่า "Phallic Stage" เป็นส่วนของบุคลิกภาพที่ตั้งมาตรการของพฤติกรรมให้แต่ละบุคคล โดยรับค่านิยมและมาตรฐานจริยธรรมของบิดามารดา เป็นของตน โดยตั้งเป็นมาตรการความประพฤติ มาตรการนี้จะเป็นเสียงแทนบิดามารดา คอยบอกว่าอะไรควรทำ หรือไม่ควรทำ มาตรการของพฤติกรรมโดยมากได้มาจากกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พ่อแม่สอนและ มักจะเป็นมาตรฐานจริยธรรม และค่านิยมต่างของพ่อแม่ ฟรอยด์กล่าวว่าเป็นผลของการปรับของ Oedipus และ Electra Complex ซึ่งนอกจาก ทำให้เด็กชายเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้ชาย" จากบิดา และเด็กหญิงเลียนแบบพฤติกรรมของ "ผู้หญิง" จากมารดาแล้ว ยังยึดถือหลักจริยธรรม ค่านิยมของบิดามารดา เป็นมาตรการของพฤติกรรมด้วย
2.กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) กลุ่มนี้แยกตัวมาจากกลุ่ม Functionalism แนวโน้ม ของกลุ่มนี้เห็นจะเปลี่ยน จากเรื่องจิตมาเป็นเรื่องของพฤติกรรมล้วน ๆ โดยเห็นว่าพฤติกรรมที่ปรากฏและ สามารถสังเกตได้เท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ ที่ควรศึกษาในจิตวิทยา ผู้นำของกลุ่มคือ จอห์น บี.วิตสัน (John B. Watson,1878 - 1958)ที่มีความคิดค้านกับแนวความคิด ของกลุ่มศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ด้วย สิ่งที่สังเกตและมองเห็นได้ นั่นก็คือ พฤติกรรมหลักของกลุ่มนี้ คือ พฤติกรรมเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของสิ่งเร้าและการตอบสนอง การศึกษาสิ่งเร้า และการตอบ สนองจะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมได้
3.กลุ่มมนุษย์นิยม ที่อาจนำไปใช้เพื่อการพัฒนาพฤติกรรม คือ การเน้นให้บุคคลได้มีเสรีภาพ เลือกวิถีชีวิตตามความต้องการและความสนใจ ให้เสรีภาพในการคิด การทำเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นให้บุคคลมองบวกในตน ยอมรับตนเอง และนำส่วนดีในตนเองมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง สร้างสรรค์สิ่งดีให้ตนเอง ซึ่งเป็นฐานทางใจให้มองบวกในคนอื่น ยอมรับคนอื่นและสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่ผู้อื่นและสังคม กับทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมด้วย
ทฤษฏีความต้องการของมนุษย์

1. ความต้องการทางด้านเสรีระ (Physiological Needs)
คือความต้องการทางร่างกาย ซึ่งเป็นความต้องการที่จำเป็นสำหรับมีชีวิตอยู่ ดังนั้น ในการพัฒนาคนๆหนึ่งนั้น จะต้องเริ่มจากแรกเกิด เด็กจะต้องได้รับสิ่งที่เป็นพื้นฐานนั่นก็คือ ต้องให้เด็กกินให้อิ่ม พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งถ้าเราให้ความต้องการต่างๆอย่างสมบูรณ์ก็จะทำให้เด็กสามารถเติบโตไปและพัฒนาขึ้นไปขั้นความต้องการที่ 2 ตามแนวคิดทฤษฎีของมาสโลว์คือ
2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยหรือสวัสดิภาพ (Safety Needs) ซึ่งก็คือความต้องการความมั่นคงทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ก็คือ จากเด็กถ้าเราให้ความคุ้มครองเลี้ยงดูเขาอย่างปลอดภภัย ทำให้เขารู้สึกมั่นใจว่าเขาปลอดภัย เขาก็สามารถเติบโตไปได้และตลอดเวลาที่เขาเติบโต ความต้องการนี้ก็จะมีติดตัวไปเรื่อยๆ ก็คือก็ยังคงต้องการความมั่นคงปลอดภัยหรือสวัสดิภาพ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน มีอาชีพที่มั่นคง จากนั้นสิ่งที่จะพัฒนาขึ้นไปอีก็คือ
3. ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่ (Love and Belonging Needs) โดยปกติแล้วคนเราจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและสิ่งแวดล้อม เรามีสังคม มีเพื่อน ดังนั้นไม่ว่าจะช่วงแห่งการเรียนหนังสือ หรือในช่วงการทำงาน เราก็อยากให้ทกคนเห็นความสามารถของเรา นับถือเรา ร้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมหรือกลุ่มเพื่อน ดังนั้น ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้ ก็จะยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจในตัวเอง มีความสุข และยิ่งทำให้ชีวิตยิ่งสมบูรณ์ จากนั้นเราก็สามารถพัฒนาไปยังขั้นต่อไป คือ
4. ความต้องการที่จะร้สึกว่าตนเองมีค่า (Esteem Needs) จากความต้องการขั้นที่แล้ว เมื่อเราเป็นที่ยอมรับหรือที่รักของคนในหมู่ หรือในกลุ่ม จะทำให้เรามีความรู้สึกว่าตนเองมีค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถจะทำให้เราสามารถจะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ดังนั้นในการที่จะมีสิ่งเหล่านี้ได้เราจะต้องสมบูรณ์ในทุกขั้น คือ เราได้สิ่งที่ต้องการอย่างสมบูรณ์
5. ความต้องการที่จะรู้จักตนเอง ตามสภาพที่แท้จริงและพัฒนาตามศักยภาพของตน (Need for Self Actualization) จากความต้องการที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าเราได้ความต้องการอย่างสมบูรณ์เราก็สามารถพัฒนาไปยังขั้นต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญในการสนองความต้องการของตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว ในการดำเนินชีวิตตามระยะช่วงอายุ ตามลำดับการเจริญเติบโต ต้องดำเนินควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตที่ยึดถือจริยธรรม คุณธรรม สิ่งที่ได้มาจะต้องมีความถูกต้อง ขั้นต่อไปเราก็จะเข้าใจและรู้จักตนเอง ยอมรับตนเองได้ ซึ่งถ้าขั้นความต้องการที่ได้มาอย่างไม่สมบูรณ์หรือขาดจริยธรรม ไม่ถูกต้อง เราก็ไม่สามารถเข้าใจตนเองว่าเราต้องการสิ่งต่างๆเหล่านั้น เพื่ออะไร ดังนั้น ในการที่จะเข้าใจตนเอง หรือยอมรับตนเองได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากมากๆความแตกต่างระหว่างบุคคลถูกกำหนดโดยปัจจัยใหญ่ๆ 2 ประการ คือ
1.พันธุกรรม (Heredity)หมายถึง การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ของบรรพบุรุษไปสู่รุ่นหลาน โดยผ่านกระบวนการทางชีววิทยา การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ นั้น กำหนดโดยสารพันธุกรรมที่เรียกว่า ยีนส์ (genes) ซึ่งอยู่ในโครโมโซม (Chromosome)
2.สิ่งแวดล้อม (Environment)หมายถึง สิ่งเร้าต่างๆ ที่มากระทบหรือเกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งที่เป็นสิ่งเร้าทางกายภาพและสิ่งเร้าทางจิตวิทยา มีผลทำให้บุคคลแตกต่างกัน
มนุษย์มีความแตกต่างกัน ดังนี้
1.ความแตกต่างทางด้านร่างกายสามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ
1.1 ลักษณะทางร่างกายซึ่งสามารถมองเห็นได้เด่นชัด เช่น รูปร่าง หน้าตา อายุ เพศ ลักษณะของสีผิว เส้นผม เล็บฯลฯ และลักษณะอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
1.2 ลักษณะทางร่างกายซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้เด่นชัด เช่น การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต กลุ่มเลือด ปฏิกิริยาที่มีต่อยาและสารเคมีอื่นๆ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถใช้เครื่องมือในการวัดลักษณะเหล่านี้ได้
2. ความแตกต่างทางอารมณ์
อารมณ์มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม และการทำกิจกรรมต่างๆของบุคคลเสมอ สำหรับในการเรียนรู้นั้น นักจิตวิทยาและนักการศึกษามีความเห็นสอดคล้องกันว่า การที่ผู้เรียนมีอารมณ์ในทางที่ดี เช่น อารมณ์ดีใจ ร่าเริง ยินดี สบายใจ จะก่อให้เกิดผลดีในการเรียนรู้ ส่วนอารมณ์ในทางที่ไม่ดี เช่น อารมณ์โกธร กลัว เศร้า อิจฉา ตื่นเต้นตกใจ มักเป็นตัวรบกวนความสามารถในการเรียนรู้ แต่บางครั้งอารมณ์ในทางที่ไม่ดีบางอย่างก็ทำให้บุคคลเรียนรู้ได้ดีขึ้น เช่น จากผลการวิจัยพบว่า เด็กที่มีระดับสติปัญญาค่อนข้างดี ถ้ามีความวิตกกังวลจะทำให้กิจกรรมการเรียนได้ดีขึ้น แต่เด็กที่มีสติปัญญาปานกลางหรือค่อนข้างต่ำจะทำกิจกรรมได้เลวลง ปราณี รามสูต (2528) กล่าวว่าการเกิดอารมณ์ต่างๆ ให้ทั้งผลดีและผลเสียในด้านการเรียนรู้ ถ้าผู้เรียนเกิดอารมณ์ในระดับที่พอดี จะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะตื่นตัว พร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆในการเรียนรู้
3. ความแตกต่างทางด้านสังคม 
บุคคลที่อยู่ในสภาพสังคมที่ต่างกันย่อมมีลักษณะทางบุคลิกภาพและพฤติกรรมแตกต่างกัน เช่น ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจ แรงจูงใจ และลักษณะอื่นๆ รวมทั้งลักษณะทางสติปัญญาซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเรียนรู้ จากผลการวิจัยของ แฮฟวิงเฮริด์ และแจนกี้ (Hevinghurst and janke, 1944, 1945) พบว่า เก็ดอายุ 10 และ 16 ปี ที่มาจากชนชั้นสูง มีระดับสติปัญญาสูงกว่าชนชั้นต่ำ (การจัดกลุ่มชนชั้นทางสังคมพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา อาชีพของบิดามารดา และถิ่นที่อยู่อาศัย) เดครอลี่ และดีแกนด์ (Decroly and Degand, 1910) พบว่าเด็กในกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดีกว่า ทำคะแนนได้สูงกว่าเกณฑ์ปกติ จากแบบทดสอบสติปัญญาของบิเนต์ แม็ค เนมา (Mc Nema, 1942) ศึกษาระดับสติปัญญาของเด็กโดยจำแนกตามของอาชีพของบิดามารดา พบว่าระดับสติปัญญาแตกต่างกันอย่างเด่นชัด และไลฟ์เซย์ (Livesay, 1944) ได้ศึกษาพบว่าคะแนนทดสอบเฉลี่ยของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปรายในรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีความสัมพันธ์กับรายได้ของบิดามารดา
4. ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา
ความสามารถทางสติปัญญาเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของบุคคล นักจิตวิทยาและนักการศึกษาต้นพบว่า ระดับสติปัญญาขิงคนเรามีความแตกต่างกันตั้งแต่ระดับสูง (อัจฉริยะ) จนถึงระดับต่ำ (ปัญญาอ่อน) ในการเรียนการสอนครูส่วนมากจะคิดถึงผู้เรียนทั้งห้องเป็นภาพรวม และคาดหวังให้เรียนส่วนมากซึ่งมีสติปัญญาระดับปานกลางเกิดการเรียนรู้ แต่ในความเป็นจริงในห้องเรียนหนึ่งๆ มักจะมีผู้เรียนสติปัญญาระดับสูง และระดับต่ำกว่าปานกลางรวมอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งผู้เรียนทั้งสองประเภทนี้ต้องการความช่วยเหลือจากครูเป็นพิเศษ เพราะการสอนรวมกับผู้อื่นตามปกติเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งสองประเภท กล่าวคือ ผู้เรียนระดับสติปัญญาสูงจะเกิดความเบื่อหน่ายและอาจแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น ขาดความสนใจในบทเรียน ทำพฤติกรรมก่อกวนชั้นเรียนเนื่องจากทำงานเสร็จและไม่มีอะไรทำ ขาดแรงจูงใจในการเรียน เพราะงานที่ครูให้ทำงานเกินไป และไม่ท้าทาย ดังนั้นครูจึงควรจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อส่งเสริมผู้เรียนประเภทนี้ให้มีโอกาสได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ และเพื่อป้องกันการเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ในการเรียน
5. ความแตกต่างทางด้านบุคลิกภาพอื่นๆ
นอกจากบุคคลจะแตกต่างกันในด้านต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีความแตกต่างกันด้านบุคลิกภาพอื่นๆ เช่น ความถนัดตาธรรมชาติ ความสนใจ ทัศนคติ แรงจูงใจ ความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ วิธีคิดและแบบของการเรียนรู้ ฯลฯ ซึ่งลักษณะดังกล่าวมีผลต่อการเรียนทั้งสิ้น โดนเฉพาะอย่างยิ่งแบบการเรียนรู้ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น คนบางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้สายตาหรือการสังเกต (Visual) บางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการฟัง (Auditory) บางคนเรียนรู้ไดดีด้วยการพูด (Talking) และบางคนเรียนรู้ได้ดีโดยการใช้มือหรือการสัมผัส (Touching) นอกจากนี้ผู้เรียนบางคนเรียนรู้ได้ดีถ้ามีการกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่บางคนจะทำได้ไม่ดี บางคนต้องการให้คอยดูหรือจ้ำจี้จ้ำไช แต่บางคนชอบอิสระ เป็นต้น

พฤติกรรมมนุษย์

ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมมนุษย์ ได้แก่ ปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งมีปัจจัยย่อยอยู่หลายปัจจัย ปัจจัยทางจิตวิทยา จะทำหน้าที่ เป็นสื่อกลางในการรับรู้และตีความสิ่งเร้าก่อนที่ร่างกายจะแสดง พฤติกรรมต่าง ๆ ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สำคัญ ประกอบด้วย แรงจูงใจและ การเรียนรู้

1. แรงจูงใจ

1.1 ความหมาย ประเภทและปัจจัย
แรงผลักดันจากภายในที่ทำให้ให้มนุษย์เกิดพฤติกรรมตอบสนองอย่าง มีทิศทางและ เป้าหมาย เรียกว่า แรงจูงใจ คนที่มีแรงจูงใจ ที่จะทำ พฤติกรรมหนึ่งสูงกว่า จะใช้ความพยายามนำ การกระทำไปสู่เป้าหมายสูงกว่า คนที่มีแรงจูงใจต่ำกว่า แรงจูงใจของมนุษย์จำแนกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ประเภทแรก ได้แก่ แรงจูงใจทางกาย ที่ทำให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมสนองความต้องการ ที่จำเป็นทางกาย เช่น หาน้ำ และอาหารมา ดื่มกิน เมื่อกระหายและหิว ประเภทที่สอง ได้แก่ แรงจูงใจทางจิตซึ่งเกี่ยวข้องกับ ความต้องการทางสังคม เช่น ความต้องการความสำเร็จ เงิน คำชมอำนาจ กลุ่มและพวก เป็นต้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงจูงใจในมนุษย์ ประกอบด้วย
1.1.1 ปัจจัยทางชีวภาพ ได้แก่ ความต้องการจำเป็นของชีวิต คือ อาหาร น้ำ ความปลอดภัย
1.1.2 ปัจจัยทางอารมณ์ เช่น ความตื่นเต้น วิตกกังวล กลัว โกรธ รัก เกลียด และความรู้สึกอื่นใด ที่ให้คนมีพฤติกรรม ตั้งแต่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จนถึง การฆ่าผู้อื่น
1.1.3 ปัจจัยทางความคิด เป็นปัจจัยที่กำหนดให้บุคคลกระทำในเรื่องที่คิดว่า เหมาะสมและเป็นไปได้ และตามความคาดหวังว่า ผู้อื่นจะสนองตอบ การกระทำของตนอย่างไร
1.1.4 ปัจจัยทางสังคม เป็นปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อให้สอดคล้องกับสังคม และเป็นที่ยอมรับ ของบุคคลในสังคมนั้นด้วย การกระทำของผู้อื่นและผลกรรมที่ได้รับจึงทำให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นไปกฏระเบียบ และตัวแบบทางสังคม

1.2 ทฤษฎีแรงจูงใจ

นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีเพื่ออธิบายถึงแรงจูงใจของมนุษย์ เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ปรากฏ แต่ละทฤษฎีมีจุดที่เป็น ความแนวคิด เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญได้แก่ ทฤษฎีสัญชาติญาณ ทฤษฎีแรงขับ ทฤษฎีการตื่นตัว และทฤษฎีสิ่งล่อใจ

1.2.1 ทฤษฎีสัญชาติญาน (Instinct Theory)

สัญชาติญาน เป็น พฤติกรรมที่มนุษย์ แสดงออกโดยอัตโนมัติ ตามธรรมชาติของชีวิต เป็นความพร้อม ที่จะทำ พฤติกรรม ได้ในทันที เมื่อปรากฎ สิ่งเร้า เฉพาะต่อพฤติกรรมนั้น สัญชาติญาณ จึงมีความสำคัญต่อ ความอยู่รอด ของชีวิต ในสัตว์บางชนิด เช่นปลากัดตัวผู้จะแสดงการก้าวร้าว พร้อมต่อสู้ ทันทีที่เห็นตัวผู้ตัวอื่น สำหรับ ใน มนุษย์ สัญชาติญาณ อาจจะไม่แสดงออกมา อย่างชัดเจนในสัตว์ชั้นต่ำ แต่บุคคลสามารถรู้สึกได้ เช่น ความใกล้ชิด ระหว่าง ชายหญิง ทำให้เกิด ความต้องการทางเพศได้ พฤติกรรมนี้ไม่ต้องเรียนรู้ เป็นรูปแบบพฤติกรรมที่ตายตัว แน่นอน ซึ่งกำหนดมา ตามธรรมชาติจาก ปัจจัยทางชีวภาพ ในปัจจุบันการศึกษา สัญชาตญาน เป็นเพียงต้องการ ศึกษา ลักษณะ การตอบสนอง ขั้นพื้นฐาน เพื่อความเข้าใจ พฤติกรรม เบื้องต้นเท่านั้น

1.2.2 ทฤษฎีแรงขับ (Drive Reduction Theory)

แรงขับ (Drive) เป็นกลไกภายในที่รักษาระบบทางสรีระ ให้คงสภาพสมดุลในเรื่องต่าง ๆ ไว้ เพื่อทำให้ ร่างกายเป็น ปกติ หรืออยู่ในสภาพ โฮมิโอสแตซิส (Homeostasis) โดยการปรับระบบให้เข้ากับ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทฤษฎีแรงขับอธิบายว่า เมื่อเสียสมดุลในระบบ โฮมิโอสแตซิส จะทำให้เกิดความต้องการ (Need) ขึ้น เป็นความต้องการทางชีวภาพเพื่อรักษาความคงอยู่ของชีวิต และความต้องการนี้ จะทำให้เกิด แรงขับ อีกต่อหนึ่ง
แรงขับเป็น สภาวะตื่นตัว ที่พร้อมจะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้กลับคืนสู่สภาพสมดุลเพื่อลดแรงขับนั้น (Drive Reduction) ตัวอย่างเช่น การขาดน้ำในร่างกาย จะทำให้เสียสมดุลทางเคมี ในเลือด เกิดความต้องการเพิ่มน้ำ ในร่างกาย แรงขับ ที่เกิดจากต้องการน้ำคือ ความกระหาย จูงใจให้เราดื่มน้ำหรือหาน้ำมาดื่ม หลังจากดื่มสม ความต้องการแล้ว แรงขับก็ลดลง กล่าวได้ว่า แรงขับผลักดันให้คนเรามีพฤติกรรม ตอบสนอง ความต้องการ เพื่อทำให้ แรงขับ ลดลงสำหรับที่ร่างกาย จะได้กลับสู่ สภาพสมดุล อีกครั้งหนึ่ง

แรงขับ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แรงขับปฐมภูมิ (Primary Drive) และ แรงขับทุติยภูมิ (Secondary Drive) แรงขับที่เกิดจาก ความต้องการพื้นฐานทางชีวภาพ เช่น ความต้องการอาหาร น้ำ ความต้องการและแรงขับประเภทนี้ เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องเรียนรู้ เป็นแรงขับ ประเภทปฐมภูมิ ส่วนแรงขับทุติยภูมิ เป็นแรงขับที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ แรงขับประเภทนี้ เมื่อเกิดแล้วจะจูงใจคนให้กระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เช่น คนเรียนรู้ว่า เงินมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการสนองความต้องการอาหาร ที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ อีกมาก การไม่มีเงิน จึงเป็นแรงขับทุติยภูมิสามารถจูงใจให้คนกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ได้เงินมาตั้งแต่การทำงานหนัก จนถึงการทำ สิ่งที่ผิดกฎหมาย เช่น การปล้นธนาคาร

1.2.3 ทฤษฎีการตื่นตัว (Arousal Theory)

มนุษย์ถูกจูงใจให้กระทำพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อรักษาระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะ (Optimal level of arousal) เมื่อมีระดับการตื่นตัวต่ำลง ก็จะถูกกระตุ้นให้เพิ่มขึ้น และเมื่อการตื่นตัวมีระดับสูงเกินไปก็จะถูกดึงให้ลดลง เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อคน จะแสวงหาการกระทำที่ตื่นเต้น เมื่อตื่นเต้นเร้าใจมานานระยะหนึ่ง จะต้องการพักผ่อน เป็นต้น คนแต่ละคนจะมีระดับการตื่นตัวที่พอเหมาะแตกต่างกัน
การตื่นตัวคือ ระดับการทำงานที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ระบบของร่างกาย สามารถวัดระดับการทำงานนี้ได้จากคลื่นสมอง การเต้นของหัวใจ การเกร็งของกล้ามเนื้อ หรือจากสภาวะของอวัยวะต่าง ๆ ขณะที่หลับสนิทระดับการตื่นตัวจะต่ำที่สุด และสูงสุดเมื่อตกใจหรือตื่นเต้นสุดขีด การตื่นตัวเพิ่มขึ้นได้จากความหิว กระหายน้ำหรือแรงขับทางชีวภาพอื่น ๆ หรือจากสิ่งเร้าที่เข้มข้น รุนแรง เหตุการณ์ไม่คาดหวังไว้ก่อน หรือจากสารกระตุ้นในกาแฟ และยาบางชนิด
การทำงานจะที่มีประสิทธิภาพสูง เมื่อมีระดับการตื่นตัวปานกลาง ระดับการตื่นตัวที่สูงเกินไปจะรบกวนความใส่ใจ การรับรู้ การคิด สมาธิ กล้ามเนื้อทำงานประสานกันได้ยาก เมื่อระดับการตื่นตัวต่ำ คนเราทำงานที่ยากและมีรายละเอียดได้ดี แต่ถ้าเป็นงานที่ง่ายจะทำได้ดีเมื่อระดับ การตื่นตัวสูง คนที่มีระดับการตื่นตัวสูงเป็นนิสัย มักสูบบุหรี่ ดื่มสุรา กินอาหารรสจัด ฟังดนตรีเสียงดัง มีความถี่เรื่องเพศสัมพันธ์ ชอบการเสี่ยงและลองเรื่องใหม่ ๆ ส่วนคนที่มีระดับการตื่นตัวต่ำเป็นปกติ มักมีพฤติกรรมที่ไม่เร้าใจมากนัก ไม่ชอบการเสี่ยง ความแตกต่างในระดับพอเหมาะของการตื่นตัว เกิดจากพื้นฐานทางชีวภาพเป็นเรื่องหลัก และทำให้มีบุคลิกภาพแตกต่างกันไปด้วย

1.2.4 ทฤษฎีสิ่งจูงใจ (Incentive Theory)

ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมที่จูงใจจะดึงดูดให้คนมุ่งไปหาสิ่งนั้น มนุษย์กระทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อแสวงหาสิ่งที่พอใจ (Positive Incentives) เช่น รางวัล คำยกย่อง สิทธิพิเศษ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พอใจ (Negative Incentives) เช่น ถูกลงโทษ ถูกตำหนิ ทำให้เจ็บกาย การที่คนมี พฤติกรรมแตกต่างกัน หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับความแตกต่างในคุณค่า (Values) ของสิ่งจูงใจ ถ้าคิดว่าการกระทำอย่างใด อย่างหนึ่ง จะได้รับผลคุ้มค่าก็จะมีแรงจูงใจให้บุคคลกระทำอย่างนั้น

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กลุ่มแนวคิดที่สำคัญทางจิตวิทยา (กลุ่ม5-6)


5.กลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt Psychology)


นักจิตวิทยาคนสำคัญกลุ่มนี้ได้แก่ Max Werthimer , Kurt Koffka และ Wolfgang Kohler ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงหน่อยรับสิ่งเร้าที่อยู่นิ่งเฉยเท่านั้น แต่จิตมีการสร้างกระบวนการประมวลข้อมูลที่รับเข้ามาและส่งผลออกไปเป็นข้อมูลใหม่ หรือสารสนเทศชนิดใหม่ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มนี้เน้นอธิบายว่าการเรียนรู้เกิดจากการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน เพราะคนเราจะรับรู้สิ่งต่างๆในลักษณะรวมๆได้ดีกว่ารับรู้ส่วนปลีกย่อย กลุ่มนี้เห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน มนุษย์จะรับในสิ่งที่ตนเองสนใจเท่านั้น สิ่งใดที่สนใจรับรู้จะเป็นภาพ สิ่งใดที่ไม่ได้สนใจรับรู้จะเป็นพื้น ดังเช่นรูปภาพข้างบนถ้าสนในมองที่สีขาวเราจะมองเห็นเป็นแก้ว แต่ถ้าเราสนใจมองสีดำเราจะเห็นเป็นรูปคนสองคนกำลังหันหน้าเข้าหากัน


6.กลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Approach)

นักจิตวิทยาที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ Abraham Maslow และ Carl Rogers กลุ่มนี้มีความเชื่อว่า
1.เราสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์ได้ดีขึ้นด้วยการศึกษาถึงการรับรู้ของบุคคลที่เกี่ยวกับตนเอง ต่อบุคคลอื่น และต่อโลกที่อาศัยอยู่
2.มนุษย์ไม่ถูกควบคุมโดยสิ่งเร้าภายนอกหรือสัญชาตญาณไร้สำนึก มนุษย์มิใช่ผู้ถูกกระทำ แต่เชื่อว่ามนุษย์มีอิสระในการเลือกกระทำหรือกำหนดการกระทำของตนเองและยังสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมไปตามที่เราต้องการได้
3.มนุษย์นั้นมีคุณค่า เพราะมนุษย์มีลักษณะสำคัญที่ทำให้แตกต่างไปจากสัตว์ คือมีความมุ่งมั่นอยากเป็นอิสระ สามารถกำหนดตัวเองได้และมีพลังจูงใจที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ระดับที่สมบูรณ์ขึ้น และมีแน้วโน้มที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ขั้นสมบูรณ์ที่สุด

กลุ่มแนวคิดที่สำคัญทางจิตวิทยา (กลุ่ม3-4)

3.กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism)


ผู้นำกลุ่มนี้ได้แก่ John B.Watson ซึ่งเชื่อว่าการศึกษาบุคคลจะต้องพิจารณาพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมามากกว่าระบบการทำงานภายใน ดังน้้นเนื้อหาจิตวิทยาจึงควรเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่สามารถสังเกตและวัดได้ชัดเจนเท่านั้น แนวคิดของวัตสันที่ว่า จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม จึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกาและมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาการของจิตวิทยาในระยะต่อมาทำให้เกิดจิตวิทยาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง มักสนใจศึกษาสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองด้านการกระทำเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มนี้ไม่สนใจเกี่ยวกับการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวของบุคคล เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่สังเกตและวัดได้ยาก ไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์

4.กลุ่มจิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) 


ผู้นำกลุ่มได้แก่ Sigmund Freudฟรอยด์เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนมากกำหนดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด สัญชาตญาณเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก เขาเชื่อว่าการทำงานของจิตแบ่งเป็น3ระดับ เปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ในทะเลคือ
1.จิตรู้สำนึก (Conscious) เป็นส่วนที่โผล่ผิวน้ำขึ้นมา ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก
2.จิตก่อนสำนึก (Preconscious) เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ๆผิวน้ำ เป็นเรื่องของความจำที่บุคคลเก็บสะสมไว้ ซึ่งอาจจะนึกไม่ออกในทันทีแต่ไม่ช้าก็เรียกความจำนั้นออกมาได้
3.จิตไร้สำนึก (Unconscious) เป็นส่วนใหญ่ของก้อนน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำ จิตส่วนนี้ฟรอยด์เชื่อว่ามีอิทธิพลมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ กระบวนการจิตไร้สำนึกนี้หมายถึง,ความคิด,ความกลัวและความปราถนาของมนุษย์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเก็บกดไว้โดยไม่รู้ตัว แต่มีอิทธิพลต่อเขา พลังของจิตไร้สำนึกอาจจะปรากฏขึ้นในรูปของความฝัน การพลั้งปาก หรือการแสดงออกมาเป็นกิริยาอาการที่บุคคลทำโดยไม่รู้ตัวเป็นต้น

กลุ่มแนวคิดที่สำคัญทางจิตวิทยา (กลุ่ม1-2)

นับตั้งแต่ Wilhelm Wundt ได้วางรากฐานการทดลองค้นคว้าทางจิตวิทยา โดยก่อตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาขึ้นในปี ค.ศ.1879 วิชาจิตวิทยาเริ่มได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในวงการต่างๆ เช่นวงการแพทย์ การศึกษา การปกครอง จนกลายเป็นความจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการอาชีพทุกสาขา มีนักจิตวิทยาสนใจศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์อย่างมากมาย ผู้ที่มีความเห็นสอดคล้องกันก็จะจับกล่มกันเผยแพร่แนวความคิดของตน ซึ่งก่อให้เกิดกลุ่มแนวคิดหรือแนวทัศนะหลายกลุ่มด้วยกัน ซึ่งแนวคิดทางจิตวิทยาที่สำคัญ
มี 6 กลุ่มดังนี้


1.กลุ่มโครงสร้างของจิต (Structuralism)


แนวคิดกลุ่มนี้นับว่าเป็นกลุ่มแรกที่มีแนวคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ผู้นำกลุ่มคือWilhelm Wundt ความเชื่อที่สำคัญของกลุ่มนี้คือ จิตเป็นโครงสร้างจากองค์ประกอบเล็กๆที่เรียกว่า จิตธาตุ ซึ่งมีอยู่3องค์ประกอบคือ
1.การสัมผัส (Sensation) คือการที่อวัยวะสัมผัสรับพลังงานจากสิ่งเร้า เช่น มือแตะของร้อน หูฟังเสียงเพลง เป็นต้น
2.ความรู้สึก (Felling) คือการแปลความหมายจากการสัมผัสสิ่งเร้านั้นๆ
3.มโนภาพ (Image) คือการคิดออกมาเป็นภาพในจิตใจ
วิธีการศึกษาของกลุ่มนี้คือ วิธีการพินิจภายใน (Introspection) อันได้แก่การที่จะทราบถึงจิตธาตุของบุคคลโดยวิธีการขอร้องให้รายงานการสัมผัสและความรู้สึกรวมทั้งความคิดของตนเองต่อสิ่งต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการทดลอง เช่น นาฬิกา เครื่องมือสำหรับบันทึกการทดลอง เป็นต้น


2.กลุ่มหน้าที่ของจิต (Functionalism)


แนวคิดกลุ่มนี้มุ่งอธิบาย หน้าที่ของจิต โดยเชื่อว่า จิตมีหน้าที่ควบคุมกระบวนการกระทำกิจกรรมของร่างกาย เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม ผู้นำกลุ่มนี้คือ William james กลุ่มนี้มีแนวคิดที่สำคัญ 3 ประการ
1.การแสดงออกของบุคคล เป็นการแสดงออกของจิตเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
จึงมุ่งสนใจศึกษาวิธีการเรียนรู้ การจูงใจ การแก้ปัญหา การจำ การลืมของมนุษย์
2.การแสดงออกทั้งหลายมีความเกีี่ยวข้องกับประสบการณ์ของบุคคลแต่ละคน
3.การเรียนรู้นั้นมุ่งที่จะนำไปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน
วิธีการศีกษาของกลุ่มนี้ส่วนมากใช้การสังเกตพฤติกรรมและยังคงใช้วิธีพินิจภายในอยู่บ้าง

ความหมาย และ ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา



ความหมายของจิตวิทยา

 

จิตวิทยาแปลมาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษว่าPsychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า
Psyche + logos (จิตใจ+วิชา) ฉะนั้นจิตวิทยาจึงแปลว่า วิชาที่ว่าด้วยจิตใจ ปัจจุบันนักจิตวิทยาอธิบายว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตของมนุษย์ คำว่า พฤติกรรม(Behavior)หมายถึงการกระทำ ส่วนคำว่า กระบวนการทางจิตนั้นจะเน้นถึงการทำงานของจิตใจของมนุษย์ เช่น การคิด จินตนาการ การฝัน เป็นต้น


ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา 


เดิมจิตวิทยาอยู่ในสาขาของวิชาปรัชญา นั่นก็คือการหาความจริงต่างๆ ในสมัยโบราณจิตวิทยาใช้วิธีค้นหาความจริงโดยการคาดคะเนความจริงและหาเหตุผลส่วนตัวของนักปราชญ์มาประกอบกับการอธิบายความจริงที่ได้ค้นพบ มนุษย์นั้นมีความสนใจและพยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเองตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว กล่าวคือ

1.ยุคโชคลางในสมัยโบราณ เกิดจากความกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ และเข้าใจกันว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นต้องพัวพันอยู่กับสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติต่างๆ เช่น ผีสาง เทวดา แม่มด หมอผี และมักจะเชื่อในเรื่องโชคลางต่างๆ ความเชื่ออย่างนี้ปัจจุบันยังคงเหลือร่องรอยอยู่

2.ยุคปรัชญา เป็นระยะเวลาที่ต่อจากยุคโชคลาง โดยมีนักปราชญ์ต่างๆช่วยกันคิดค้นหาความหมายของชีวิต เช่น ค้นหาว่าชีวิตที่ดีนั้นควรเป็นอย่างไร เมื่อชีวิตดับแล้วจะเกิดอะไรขึ้น จิตหรือวิญญาณคืออะไร อยู่ที่ไหน เป็นต้นปรัชญานั้นประกอบไปด้วยความนึกคิดอันชาญฉลาดที่แสดงให้เห็นถึงอุดมคติและทัศนคติส่วนตัวของนักปราชญ์

3.ยุคค้นคว้า ระยะต่อมามนุษย์เริ่มสนใจค้นหาข้อเท็จจริงมากขึ้น พวกที่สนใจปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ค้นพบสาขาวิชาแตกแขนงออกไป เช่น คณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ พวกที่ค้นคว้าเกี่ยวกับมนุษย์เช่น กายวิภาค สรีรศาสตร์ เป็นต้น จิตวิทยาก็เป็นวิชาหนึ่งที่แยกมาจากปรัชญาและมีวิชาที่แยกตามอีกคือสังคมศาสตร์  อาจกล่าวได้ว่า จิตวิทยาเป็นวิชาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชีววิทยากับสังคมศาสตร์ การตีความของวิชานี้จึงแตกแตกต่างกันไปจนทำให้เกิด สำนักศึกษา หรือกลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยา เกิดขึ้นหลายกลุ่ม